ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม ต้องบอกก่อนเลยว่าคนส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่มากเกี่ยวกับเอชไอวี และเอดส์ ที่จริงแล้วนั้นเอชไอวีกับเอดส์ไม่เหมือนกัน หลายๆ คนยัง คงเรียกติดปากว่า โรคเอดส์ ทั้งๆ ที่คนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นเอดส์ก็ได้ คำพูดนี้ไม่ได้ผิดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถูกต้องสักนิด มาถึงตรงนี้ทุกคน อาจจะเริ่มสับสนกันแล้วว่า อะไรยังไงกันแน่ วันนี้เราไปหาความจริงกันดีกว่า
เอชไอวี คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดโรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากไวรัสจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้ออะไรก็ตามที่เข้าสู่ร่างกายได้ และเสียชีวิตลงในที่สุด เอชไอวี เป็นคำเรียกย่อๆ ของภาษาอังกฤษที่มีชื่อเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV)
เอดส์ ย่อมาจากคำว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS เป็นระยะสุดท้ายของโรคติดเชื้อเอชไอวี เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายล้มเหลวแล้ว และเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคต่างๆ ได้ง่าย
ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ
1. ระยะแรก เป็นระยะที่ร่างกายพึ่งได้รับเชื้อเอชไอวีมาใหม่ ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานหนัก เนื่องจากต้องผลิตแอนติบอดีขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อเอชไอวี ในระยะนี้อาจจะรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลียบ้าง ปวดเมื่อยบ้าง และก็จะค่อยๆ หายไป แต่ในบางรายก็ไม่มีอาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไม่ทันได้ตั้งตัว หรือไม่ได้เอะใจเลยสักนิด ระยะนี้เรียกว่า อยู่ในภาวะเริ่มติดเชื้อ ระยะนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 5 -10 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของแต่ละบุคคล
2. ระยะที่สอง เรียกว่า ระยะเริ่มมีอาการ เมื่อผ่านระยะทีหนึ่งมาแล้ว ผู้ป่วยจะเรริมมีตุ่มขึ้นตามร่างกาย มีเชื้อราในปาก อาจพบเป็นงูสวัด เป็นต้น ระยะที่สองนี้จะอยู่ประมาณ 1-2 ปี ก็จะเข้าสู่
3. ระยะที่สาม ซึ่งเป็นขั้นรุนแรงของโรค เรียกันว่าระยะเอดส์เต็มขั้น เนื่องจากในระยะนี้ ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะมีระดับต่ำแบบรวดเร็ว อาการที่พบ ได้แก่ เชื้อราขึ้นสมอง วัณโรค ต่อมน้ำเหลืองกระจายทั่วร่างกาย ปอดอักเสบ หรือเชื้อไวรัสขึ้นจอตาถึงขั้นตาบอด เป็นต้น เป็นระยะที่รุนแรงมาก ป่วยหนักต้องเฝ้าระวังอาการโดยการนอนที่โรงพยาบาล
และคำถามที่ว่า ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม สามารถอธิบายได้ว่า ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดไวรัสให้หมดจากร่างกายได้ หรือ พูดได้ว่า ยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้ แต่ทุกวันนี้การรักษาจะเป็นในรูปแบบยาต้านไวรัส ตัวยาจะออกฤทธิ์ต้านไวรัส กำจัดให้อยู่ในระดับที่ต่ำ ไม่ให้เชื้อพัฒนา ทำให้เราสามารถควบคุมอาการของโรคได้ โดยหากผู้ที่พึ่งเริ่มติดเชื้อ หรือผู้ติดเชื้อรับประทานยาในระยะแรกก็จะทำให้สามารถถควบคุมอาการของโรคได้ โดยที่ไม่แสดงอาการของโรคออกมา ใช้ชีวิตได้ดังคนปกติทั่วไป อายุขัยยืนเทียบเท่าคนปกติ อย่างไรก็ตามแนะนำให้ผู้ติดเชื้อรีบเข้ารับการรักษา พบคุณหมอขอคำแนะนำ และหากมีความวิตกกังวลสามารถเข้าพบจิตแพทย์ได้ หรือสายด่วนปรึกษาโรคเอดส์ 1663
ดังนั้นผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็นโรคเอดส์เสมอไป ด้วยการรักษาพยาบาลจากแพทย์ และการทานยาปฏิบัติตัวอย่างดี
การปฏิบัติตนเมื่อติดเชื้อเอชไอวี
1. เข้ารับการรักษาทันที
2. รับประทานยาอย่างเคร่งครัดตรงเวลาเสมอ
3. พบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
5. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จากงานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายอาจช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญอาหารของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
6. ดูแลสุขภาพจิต
7. เลิกบุหรี่ บุหรี่นั้นสามารถรบกวนระบบภูมิต้านทานได้
8. เลิกใช้ยาเสพติด การใช้ยาเสพติด เพราะอาจทำให้อาการต่าง ๆ ของผู้ป่วยแย่ลงได้
9. ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น แนะนำให้คู่นอนไปตรวจ
ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีควรปฏิบัติตามทั้ง 9 ข้อ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยเอง
หากผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงแนะนำให้เข้ารับการตรวจเอชไอวีที่โรงพยาบาล หรือคลินิกนิรนาม โดยหากเป็นโรงพยาบาลของรัฐสามารถตรวจได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง แต่หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกทั่วไปก็จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 600 – 3,000 บาท หรือหากไม่อยากเดินทางไปตามสถานพยาบาลก็สามารถหาซื้อชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง มาตรวจเองที่บ้านได้ โดยเลือกจากชุดตรวจที่มีเลขอย.ไทย
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงมากๆ ก็แนะนำให้ตรวจบ่อยๆ ตรวจที่ 30 วันหลังเสี่ยง 60 และ 90 วันหลังเสี่ยงอีกครั้ง
หากอยากมั่นใจในทุกครั้งที่ตรวจ โปรดซื้อชุดตรวจเอชไอวีกับร้านที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานรับรอง
สนใจสินค้า แตะที่ QR Code หรือ สแกน Add LINE สอบถามได้เลยค่ะ
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook