ชุดตรวจ hiv ที่ผ่านมาการตรวจเอชไอวีทั่วโลก ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างหลากหลายด้วยหลักการหลายๆ อย่าง โดยการตรวจจะแบ่งเป็นตรวจยืนยัน กับตรวจแบบคัดกรอง ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ถูกจำกัดไว้สำหรับในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอีกต่อไป เมื่อมีการผลิต ชุดตรวจ HIVด้วยตัวเองออกมาสู่ประชาชน
ขออธิบายก่อนว่า การตรวจแบบคัดกรองเบื้องต้น การทดสอบแบบ Screening test มีหลายรูปแบบแต่ที่นิยม จะเป็นแบบ Rapid test และ Simple assay เพราะการตรวจแบบ Rapid test คือ การตรวจที่ได้ผลแบบรวดเร็วอ่านผลภายในไม่กี่นาที และ Simple assay หมายถึงการทดสอบอย่างง่ายๆ อ่านผลภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งชุดตรวจ HIV ที่เรากำลังพูดถึง คือ ชุดตรวจแบบ Rapid test
ชุดตรวจเอชไอวี แบบ Rapid test หมายถึง การตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากตรวจพบเชื้อเอชไอวี (เลือดบวก) เราต้องทำการตรวจยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ข้อดีของการตรวจคัดกรอง คือ มีขั้นตอนง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ตรวจได้รวดเร็ว ใช้งานสะดวก สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ข้อเสีย คือ ขึ้นกับการอ่านผล แปลผลรายบุคคล ทั้งนี้ชุดตรวจที่ดีจึงควรมีคำแนะนำในการอ่านผล แปลผลที่ถูกต้อง ให้แก่ผู้ตรวจและผู้ถูกตรวจด้วย
ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ได้กระจายสู่ประชาชนทั่วโลก และในที่สุดเมื่อปี 2562 ได้มีการประกาศ ปลดล็อก ชุดตรวจ HIV ด้วยตนเอง จากทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้มากขึ้น ซึ่งการตรวจดังกล่าวก็จะเป็นในรูปแบบตรวจคัดกรอง หากพบว่าติดเชื้อต้องได้รับการตรวจยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง
ชุดตรวจเอชไอวี แบบคัดกรองในปัจจุบัน มีวิธีการตรวจหลักๆ ดังนี้
– การตรวจจากเลือด ด้วยการเจาะเลือดนิ้วมือ คล้ายคลึงกับการตรวจน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน วิธีการ คือ ทำความสะอาดนิ้วมือ เจาะเลือดที่ปลายนิ้ว หยดลงบนแผ่นทดสอบ (อาจมีการหยดน้ำยาด้วย ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์) รอเวลาไม่กี่นา ก็สามารถอ่านผลได้เลย การตรวจแบบนี้จะมีความแม่นยำมากถึง 99.9%
– การตรวจหาเชื้อจากน้ำลาย หรือ เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากบริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก ใต้ลิ้น ไปตรวจโดยใช้ชุดทดสอบ ซึ่งอาจจะเหมาะกับผู้ที่กลัวเข็ม โดยมีความแม่นยำอยู่เพียง 92%
ชนิดของการตรวจคัดกรอง สามารถแบ่งได้ หลักๆ เป็น 4 ประเภท
1. ตรวจหาแอนติเจน เป็นการตรวจหาโปรตีน p24 Antigen ของเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถตรวจได้ภายใน 14 วัน หลังจากได้รับความเสี่ยงมา มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยแวดล้อม จึงไม่เป็นที่นิยม หากตรวจพบเชื้อจำเป็นต้องตรวจติดตามแอนติบอดีอีกครั้ง หากตรวจไม่พบให้เว้นระยะเวลาพอประมาณและตรวจติดตามผลอีกครั้ง แนะนำให้ตรวจแบบแอนติบอดี เพราะ ณ เวลา ที่ตรวจอีกรอบ แอนติเจนอาจหมดลงแล้ว
2. ตรวจหาแอนติบอดี เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สร้างขึ้นมาจำเพาะเจาะจงในการกำจัดเชื้อไวรัส ซึ่งจากถูกสร้างขึ้นมา โดยการตรวจนี้สามารถตรวจได้ที่ 21 วัน หลังเสี่ยง การตรวจคัดกรองนี้มีความแม่นยำมาก หากตรวจพบเชื้อ ให้รีบไปตรวจยืนยัน หากตรวจไม่พบให้เว้นระยะเวลาพอประมาณและตรวจติดตามผลอีกครั้ง วิธีนี้เป็นที่นิยมมาก
3. ตรวจหาแอนติบอดีและแอนติเจนในคราวเดียวกัน ในชุดเดียวกัน ตรวจได้ภายใน 14 วัน หลังเสี่ยง
– หากตรวจพบเชื้อจำเป็นต้องตรวจติดตามแอนติบอดีอีกครั้ง
– หากตรวจไม่พบให้เว้นระยะเวลาพอประมาณและตรวจติดตามผลอีกครั้ง แนะนำให้ตรวจแบบแอนติบอดี เพราะ ณ เวลา ที่ตรวจอีกรอบ แอนติเจนอาจหมดลงแล้ว
4. ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือการตรวจ NAT
เป็นการตรวจ Nucleic acid testing (NAT) ถูกพัฒนาขึ้นจากการตรวจแอนติบอดี ให้สามารถตรวจได้ไวขึ้น โดยการตรวจ NAT สามารถตรวจได้ที่ 1 สัปดาห์หลังเสี่ยง แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร มีควาแม่นยำมาก
สรุปแล้ว ชุดตรวจ hiv ด้วยตนเอง มีความแม่นยำสูง จริง!! โดยที่พบในปัจจุบันนี้มีความแม่นยำมากกว่า 99% และแน่นอนว่าในทางการแพทย์การตรวจเพียงครั้งเดียวอาจไม่ทำให้มั่นใจ ดังนั้น ท่านสามารถทำการตรวจซ้ำได้บ่อย ๆ เพราะชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ใช้งานง่ายมาก และรู้ผลได้ภายในไม่กี่นาที ไม่ต้องอดข้าวหรือน้ำก็ตรวจได้เลย เรียกได้ว่า สะดวกทุกที่ ทุกเวลา
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง แนะนำให้รีบตรวจ โดยจริงๆ แล้ว ผู้ที่เป็นวัยผู้ใหญ่ควรได้รับการตรวจเอชไอวีสักครั้งในชีวิต หากไม่อยากไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็สามารถซื้อชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ที่แม่นยำ มีคุณภาพมาตรฐาน มาตรวจได้ โดยให้เลือกที่ผ่านมาตรฐาน อย. ไทย แล้วเท่านั้น
ท่านใดที่มีความกังวลใจ และต้องการที่จะลองตรวจสักครั้ง เรายินดีให้บริการ ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย การรักษาความลับของลูกค้า คือ สิ่งที่เรายึดถือมากที่สุด มั่นใจ ปลอดภัย มีมาตรฐาน ให้บริการมากว่า 7 ปี
หากอยากมั่นใจในทุกครั้งที่ตรวจ โปรดซื้อชุดตรวจเอชไอวีกับร้านที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานรับรอง
สนใจสอบถาม-สั่งซื้อสินค้า Click เพื่อ Add LINE สอบถามได้เลยค่ะ
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook